นักการศึกษา แวน เดอ เวล (van De Walle, 1944 อ้างถึงใน นภเนตร ธรรมบวร, 2544 : 69 – 75) กล่าวว่า ขณะที่เด็กสำรวจโลกรอบตนเอง เด็กจะวางรากฐานคณิตศาสตร์ไปพร้อม ๆ กันการเรียนคณิตศาสตร์ จำเป็นต้องมีความหมายกับตัวเด็ก กล่าวคือ ครูควรส่งเสริมให้เด็กสำรวจ ให้เหตุผล และคิดแก้ปัญหามากกว่าการเรียน โดยการจำกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์เท่านั้น เด็กจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจคณิตศาสตร์โดยการคิดด้วยตนเอง และค้นหาคำตอบซึ่งมีความหมายสำหรับตัวเขา
นักการศึกษา คาร์เพนเตอร์ (Carpenter, 1985) กล่าวว่า งานวิจัยทางคณิตศาสตร์ในปัจจุบันมุ่งเน้นวิธีการ ซึ่งกระตุ้นให้เด็กสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ด้วยตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่ง ที่ครูสามารถส่งเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็ก คือ การเปิดโอกาสให้เด็กอภิปราย สนทนา พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางคณิตศาสตร์
สุวิมล อุดมพิริยะศักย์ (2547 : 171-172) กล่าวไว้ว่า เรื่องของคณิตศาสตร์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใหญ่บางคน เพราะเหตุนี้ความคิดที่ว่าจะนำเอาความรู้ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์หรือการคิดคำนวณ มาให้เด็กที่จัดกลุ่มไว้เพื่อการเล่น ได้เรียนรู้บ้างจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ความจริงแล้วการคิดคำนวณที่ว่านั้นไม่ใช่การบวกลบ แต่คณิตศาสตร์ทำให้เด็กรับรู้เกี่ยวกับเรื่องของการจำแนกของออกเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะ หรือขนาดของมันเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับ ชีวิตประจำวันของเด็กมาก ในแง่ของคณิตศาสตร์นั้น ของที่นำมาให้เด็กเล่นจะจัดเป็นหมวดหมู่
เช่น การจัดลูกปัดไว้กล่องหนึ่ง และจัดดินสอสีไว้อีกกล่องหนึ่ง เป็นต้น
ในชีวิตประจำวันของเรา แนวคิดทางคณิตศาสตร์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยตลอดเวลา เช่นเรื่องของรูปของร่าง ขนาด ปริมาณ และเวลา ครูผู้ควบคุมศูนย์จะต้องพยายามสอนให้เด็กมีทักษะในการคิดจำนวน เช่น ดอกไม้สองดอกรวมกับไม้อีกสองดอกจะได้เป็นสี่ดอก 2 + 2 = 4 เป็นต้นครูจะต้องเน้นในแง่ของจำนวนให้เด็กได้เห็นจริง ๆ ไม่ใช่บอกตัวเลขบนกระดานดำโดยให้เด็กคิดเอง แต่ไม่ได้สัมผัสสิ่งของ
คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ได้ให้แนวทางการพัฒนาการทางคณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้
พัฒนาการทางคณิตศาสตร์
ขั้นที่ 1 (2-3 ปี) เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับจำนวนเมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังผู้อื่นใช้ หรือเริ่มเข้าใจจำนวนจากการมีโอกาสเล่น จับต้องวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือเล่นต่อภาพที่ชิ้นส่วนของภาพมีขนาดใหญ่ เริ่มรู้จักรูปทรงเรขาคณิต เช่น รูปทรงกลม
ขั้นที่ 2 (3-4 ปี) รู้จักปริมาณมาก มากกว่า เริ่มคุ้นเคยกับรูปทรงเรขาคณิตของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก รู้จักจัดกลุ่มสิ่งของตามคุณลักษณะต่าง ๆ รู้จักนับ 1-5 เปรียบเทียบความเหมือนความต่างหรือใช้คำอธิบายปริมาณ ความยาว ขนาด
ขั้นที่ 3 (4-5 ปี) เข้าใจและเล่นเกมที่เกี่ยวกับจำนวน นับสิ่งของ 1-10 และบางครั้งถึง 20 จัดกลุ่มสิ่งต่าง ๆ ตามรูปทรงเปรียบเทียบขนาดของสิ่งต่าง ๆ
ขั้นที่ 4 (5-6 ปี) เริ่มเข้าใจความคิดรวบยอดในรูปของสัญลักษณ์ นับสิ่งของจำนวน 20 และอาจมากกว่านี้ จำแนกสิ่งของตามคุณลักษณะได้มากกว่า 2 คุณลักษณะ
(สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2547 : 133)
และดร.ธรรมนูญ นวลใจ ได้ให้แนวทางการนับเลข ไว้ดังนี้
- พัฒนาการด้านการนับเลขเริ่มนำตัวเลขมาใช้ เป็นส่วนหนึ่งของคำพูดในชีวิตประจำวันนานมาแล้ว ก่อนที่เด็กจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียอีกว่า ตัวเลขเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไร เมื่ออายุได้ 3 ขวบ เด็กชี้ไปที่สิ่งของและพยายามนับจำนวนของเหล่านั้น แต่เขาจะไม่มีวันนับมันได้ถูกต้อง (นอกเสียจากว่า เขาจะโชคดีในการเดา)
- ขั้นตอนต่อไปของพัฒนาการด้านตัวเลข จะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 3 หรือ 4 ขวบ เริ่มจับคู่สิ่งของที่แตกต่างกัน แต่มีจำนวนเท่ากันได้ ตัวอย่างเช่น นำกล่องไม้กล่องเล็ก ๆ สีน้ำเงิน 4 ใบ สีเหลือง 4 ใบ สีเขียว 4 ใบและ สีดำ 6 ใบ มาให้ลูกชี้ไปที่กลุ่มกล่องไม้สีน้ำเงิน แล้วขอให้เด็กหากล่องไม้กลุ่มอื่นที่มีจำนวนเท่ากัน ความสามารถในการเลือกกลุ่มกล่องไม้ได้ถูกต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า มีความเข้าใจในจำนวนตัวเลขที่แสดงอยู่ในรูปปริมาณของสิ่งของ และจำนวนตัวเลขกับปริมาณของสิ่งของนั้นก็มีจำนวนเท่า ๆ กัน
- ขั้นตอนต่อไปของพัฒนาการด้านตัวเลขคือ การที่รู้ความจริงว่า จำนวนตัวเลขเกิดมาจากการเรียงลำดับที่แน่นอน เด็กมักทึกทักเอาเองว่าเป็นเพราะรู้ว่าเลข 3 ต่อจากเลข 2 ต่อจากเลข 1 ฯลฯ (ซึ่งมันเป็นสิ่งปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน) แต่สำหรับเด็ก เด็กจำเป็นต้องได้เรียนรู้เสียก่อน เพราะมันไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้เลยในทันที ควรเรียนรู้ลำดับตัวเลขตั้งแต่ 1- 5 ก่อนที่จะเรียนรู้ลำดับอื่น ๆ ต่อไป ในขั้นตอนนี้เริ่มเข้าใจภาษาของตัวเลข เช่น ใหญ่/เล็ก มาก/น้อย เด็กวัย 3 ขวบ สามารถเปรียบเทียบขนาดง่าย ๆ ได้ ตัวอย่างเช่นยื่นแก้วน้ำผลไม้ใบใหญ่และใบเล็กให้และขอให้ชี้ไปที่แก้วน้ำผลไม้ใบใหญ่ เด็กควรสามารถแยกความแตกต่างระหว่างแก้ว 2 ใบได้โดยไม่ยากนัก
เมื่อเด็กอายุได้ 4 ขวบ จะก้าวสู่ขั้นแรกของการนับตัวเลขด้วยความรอบคอบ ตัวอย่างเช่น นำของที่เหมือนกัน 3 - 4 ชิ้น มาวางไว้หน้าเด็ก เช่น ลูกอม 3-4 เม็ด จากนั้นขอให้นับจำนวนของออกมาดัง ๆ และชี้ไปที่ของแต่ละชิ้นขณะที่นับด้วยอาจจะนับมันจนครบได้อย่างถูกต้อง
เด็กควรรู้จักตัวเลขได้ตั้งแต่ 1 - 10 หรือบางทีอาจถึง 20 สามารถนับเลขได้ อย่างน้อยตั้งแต่ 1 - 7 และรู้ระยะเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละวัน (ดร.ธรรมนูญ นวลใจ, 2541 : 138-139)
สรุป
การเตรียมความพร้อมด้านคณิตศาสตร์จนถึงกระบวนการจัดการสอนการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์เริ่มด้วยการรู้จักการนับปากเปล่า นับเรียงลำดับตัวเลข นับจำนวน รู้ค่า รู้จำนวน นับเพิ่ม และนับลด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น